Monday, February 28, 2011

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในฐานะแนวรับและแนวต้าน บทเรียนจากการพักฐานของ SMT

          จากการที่ผมได้เคยวิเคราะห์แนวโน้มการพักฐานของหุ้น SMT โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เส้นในการพิจารณา ได้แก่ SMA25D, SMA50D และ SMA200D ซึ่งสามารถกลับไปอ่านได้ [ที่นี่] พบว่าราคาหุ้นได้ทะลุแนวเส้น SMA50D ลงมาสองครั้ง ในครั้งที่สองได้เกิดการตัดกันแบบขาลงของ SMA25D และ SMA50D แต่เส้นระดับราคายังอยู่เหนือเส้น SMA200D ค่อนข้างมาก เมื่อดูตามรูปการณ์ดังกล่าวผมได้คาดว่าหุ้น SMT จะยังคงพักฐานไปอีกสักระยะ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานปรากฎว่าจุดที่ราคาหุ้นตกทะลุแนวเส้น SMA50D ครั้งที่สองนั้นกลายเป็นจุดต่ำสุดและราคาหุ้นได้ไต่ระดับขึ้นไปอีกอย่างมาก (เกิน 2 เท่าตัว) หมายความว่ามีอะไรบางอย่างผิดไปในการพิจารณาแนวโน้มทางเทคนิคที่ผมใช้


                       (คลิกภาพเพื่อขยาย)
 เพื่อหาว่าผิดตรงไหน ผมลองเพิ่มเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้าไปอีก 1 เส้น คือ เส้น SMA100D พบว่าการตกของราคาหุ้นลงมาทะลุแนวเส้น SMA50D เป็นครั้งที่สองนั้น แท้จริงแล้วได้ลงมาแตะที่เส้น SMA100D แล้วเด้งเชือกกลับขึ้นไป และเมื่อย้อนไปพิจารณาลักษณะการตัดกันของ SMA25D และ SMA50D พบว่าเป็นตัดกันด้วยความชันที่น้อยมาก แทบจะตัดออกข้าง 

                        (คลิกภาพเพื่อขยาย)

บทเรียนนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า บทบาทในการเป็นแนวต้านและแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มีความสำคัญมากกว่าการเป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแนวโน้มโดยการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น และการดูว่าการพักฐานใกล้สิ้นสุดหรือยังควรดูกราฟรายสัปดาห์ประกอบด้วย ตามกราฟรายสัปดาห์ข้างล่าง ถ้าเรามองย้อนหลังกลับไปประมาณเดือนพฤษภาคม 2010 ราคาหุ้นในระหว่างการปรับฐานสัปดาห์ที่ 3 ได้เคยตกลงมาเกือบแตะ เส้น SMA25W จากนั้นราคาก็ได้พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ในเดือนตุลาคม 2010 ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ราคาหุ้น SMT ที่อยู่ระหว่างการปรับฐานสัปดาห์ที่ 9 ได้ตกลงจนเกือบแตะเส้น SMA25W อีกครั้ง และอีก 2 สัปดาห์ต่อมาก็ได้พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ดังนั้นเมื่อดูกราฟหุ้นรายสัปดาห์ประกอบจะพบว่าราคาหุ้นได้ปรับฐานจนพร้อมจะไต่ระดับขึ้นไปอีกครั้งหนึ่งแล้วทำให้การตัดกันของ SMA25D และ SMA50D ในทิศทางลงที่เห็นในกราฟรายวันมีน้ำหนักอ่อนลงไป


                             (คลิกภาพเพื่อขยาย)


=============================================================



ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย" ที่    facebook.com/thstockinvest    twitter.com/thstockinvest 

เรียนรู้การดูกราฟหุ้นทางเทคนิคได้ที่ Free Stock Technical Analysis Tutorial

หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา  ชำแหละพื้นฐานหุ้น

Sunday, February 20, 2011

เมื่อไหร่แนวโน้มกรอบใหญ่ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนเป็นขาลง

เร็ว ๆ นี้ ผมได้ดูเทปรายการสัมนางานหนึ่งทาง Money Channel ซึ่งคุณมนตรี ศรไพศาล ซีอีโอ กิมเอ็ง ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของการเปลี่ยนแนวโน้มรอบใหญ่ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในอดีตที่อาจจะนำมาทำนายแนวโน้มในอนาคตได้ โดยอาศัยหลักการที่ว่า นักลงทุนจะหยุดลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์มีค่าเท่ากับหรือน้อยกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 5-10 ปี เนื่องจากการลงทุนในหุ้นย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ถ้าได้ผลตอบแทนเท่ากัน นักลงทุนย่อมเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทนการลงทุนในหุ้น
การหาผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์อย่างรวดเร็วทำได้โดยหาว่า กำไร (earning) ที่ได้จากการลงทุนซื้อหุ้น คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของราคาหุ้นในปัจจุบัน (price) หรือ earning/price ซึ่งเป็นส่วนกลับของ PE (price/earning) นั่นเอง แล้วนำ 1/PE ไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ข้อมูลในตารางแสดงค่า PE และ อัตราผลตอบแทน (1/PE) ของตลาดหลักทรัพย์

PE1/PE (ผลตอบแทน)
12.58.00%
147.10%
166.25%
185.56%
205.00%
224.55%
244.17%
263.84%
283.57%
303.33%

ในขณะนี้ SET มี ค่า PE ประมาณ 14 หรือคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 1/PE = 1/14 = 7.10% เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งมีผลตอบแทน 3.89% จะพบว่า SET ยังให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้นนักลงทุนจึงยังคงลงทุนในหุ้นอยู่ ถ้าเมื่อไหร่ ค่า PE ของ SET เพิ่มเป็น 24 เมื่อนั้นผลตอบแทนจะใกล้เคียงกับพันธบัตรรัฐบาล การลงทุนในพันธบัตรจึงดีกว่าหุ้น



ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย" ที่ facebook.com/thstockinvest twitter.com/thstockinvest

เรียนรู้การดูกราฟหุ้นทางเทคนิคได้ที่ Free Stock Technical Analysis Tutorial

หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา  ชำแหละพื้นฐานหุ้น

Tuesday, February 8, 2011

รายใหญ่กำลังเข้าเก็บหุ้น IVL อย่างเยือกเย็นอีกครั้ง

ผมเคยนำเกร็ดความรู้วิธีการสังเกตอาการของหุ้นที่กำลังมีรายใหญ่เข้าเก็บอย่างใจเย็น (ไม่ไล่ราคา ได้ก็เอา ไม่ได้ไม่เป็นไร) พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดกับหุ้น CK และ IVL มาครั้งหนึ่งแล้ว ท่านที่สนใจสามารถอ่านทบทวนได้ [ที่นี่] ในขณะนี้เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นอีกครั้งกับหุ้น IVL ซึ่งดูได้จากภาพ bid-offer ข้างล่าง

(คลิกภาพเพื่อขยาย)



จากประสบการณ์ลงทุนของ วิชัย วชิรพงศ์ ในบทความ "กูรูหุ้นพันล้าน วิชัย วชิรพงศ์" จากกรุงเทพธุรกิจ คุณวิชัยซึ่งเป็นรายใหญ่คนหนึ่งบอกว่า เมื่อรายใหญ่ต้องการสะสมหุ้น มักจะตั้งเสนอซื้อ (bid) ด้วยปริมาณน้อย ๆ พร้อมกับตั้งเสนอขาย (offer) ในปริมาณมหาศาล การทำแบบนี้นักลงทุนโดยมากจะเข้าใจผิดว่ามีความต้องการขาย (อุปทาน) มาก แต่ความต้องการซื้อ (อุปสงค์) น้อย ราคาหุ้นน่าจะลง และมักจะถอดใจยอมขายหุ้นออกมาที่ราคาเสนอซื้อ รายใหญ่ที่ตั้งซื้อไว้น้อย ๆ ก็ทยอยสะสมหุ้นได้อย่างใจเย็น การสังเกตแบบนี้ควรดูหลาย ๆ วันประกอบกันเพราะการสะสมหุ้นอย่างใจเย็นจะไม่เกิดขึ้นชั่วระยะเวลาสั้น ๆ


ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย" ที่ facebook.com/thstockinvest twitter.com/thstockinvest

เรียนรู้การดูกราฟหุ้นทางเทคนิคได้ที่ Free Stock Technical Analysis Tutorial

หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา  ชำแหละพื้นฐานหุ้น

CK เกิดสัญญาณสิ้นสุดการพักฐาน เตรียมพร้อมทำ new high

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้ติดตามวิเคราะห์ความเป็นไปของหุ้น CK (บมจ. ช. การช่าง) เรื่อยมาตามแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ ซึ่งผู้สนใจสามารถกลับไปอ่านได้ [ที่นี่] เท้าความโดยย่อได้ว่า หุ้น CK เป็นหุ้นที่มีประวัติและพฤติกรรมน่าศึกษา กล่าวคือ ในบางช่วง มีการฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และบางช่วงก็ซึมลงได้อย่างยาวนาน ตามประวัติแล้ว CK ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ ปี 1995 ต่อมาไม่นานราคาหุ้นได้ดิ่งลงด้วยวิกฤตต้มยำกุ้ง กว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้อีกครั้งต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี ล่วงมาถึงปี 2003 เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมารุ่งเรือง โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่บริษัทได้รับงานก่อสร้างและรับสัมปทานเดินรถเสร็จสิ้นลง ประกอบกับการชนะประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ทางด่วนลอยฟ้าบางนา-บางปะกง และถนนวงแหวนด้านใต้ บางพลี-สุขสวัสดิ์ ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเข้าซื้อหุ้น CK อย่างขนานใหญ่ จนราคาหุ้นของ CK เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าตัวในเวลาเพียง 5 เดือน ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 30 บาท เมื่อประมาณปลายปี 2003 (ราคาหลังการแตกพาร์ 10 บาท เหลือ 1 บาท) ระดับแรงต้านที่แข็งแรงมากซึ่งกดดันไม่ให้หุ้นขึ้นต่อไปได้อีกคือระดับ 20 บาทซึ่งเป็นราคาหุ้นของ CK เมื่อเริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง จากจุดนี้ไป หุ้น CK ได้ซึมลงยาวนานประมาณ 5 ปี จนราคาหุ้นไปทำจุดต่ำสุดที่ราคาประมาณ 2 บาทเมื่อปลายปี 2008 ผลจากวิกฤตซับไพรม์ทำให้ภาครัฐระดมก่อสร้างสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงที่เป็นใต้ดิน นอกจากนี้บริษัทยังได้งานก่อสร้างในต่างประเทศ เช่นการสร้างถนนในกัมพูชา และการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าหลายแห่งในลาว การฟื้นตัวในรอบนี้มีลักษณะที่น่าสังเกตคือ จะมีการเพิ่มระดับราคาคล้ายขั้นบันได โดยเพิ่มขึ้นประมาณขั้นละ 2 เท่าตัว จาก 2 บาท มาเป็น 5 บาท และมาเป็น 10 บาท ในที่สุด

การฟื้นตัวของราคาหุ้น CK นับจากกลางปี 2008 เป็นต้นมามีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แต่รูปแบบการเพิ่มของราคาสามารถสังเกตเห็นได้เมื่อพิจารณากราฟราคาหุ้นรายสัปดาห์ดังรูปข้างล่าง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2008 หุ้น CK ปรับฐานจาก 5 บาท ลงไปเหลือ 2 บาท แล้วปรับกลับขึ้นมาที่ 5 บาท ในเวลา 13 เดือน แล้วจึงพุ่งขึ้น 50% ไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 7.5 บาท ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ จุดที่เริ่มเกิดการพุ่งขึ้นทำราคาสูงสุดใหม่นี้เป็นระดับราคาของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 สัปดาห์ หรือ SMA100W พอดี หลังจากทำจุดสูงสุดใหม่แล้ว ได้เกิดการพักฐานในรูปแบบเดิมด้วยตัวเลขคล้ายเดิมอีก โดยราคาหุ้นปรับฐานจาก 7.5 บาท กลับลงไปอยู่ที่ 5 บาท หรือ ลง 33% แล้วกลับขึ้นไปที่ 7.5 บาทในเวลาประมาณ 10 เดือน แล้วจึงพุ่งขึ้น 53% ไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 11.5 บาท ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หลังจากทำจุดสูงสุดใหม่แล้ว ได้เกิดการพักฐานในรูปแบบเดิมด้วยตัวเลขคล้ายเดิมอีก แต่การพักฐานรอบปัจจุบันยังไม่เสร็จสิ้น กล่าวคือ ราคาหุ้น CK ปรับลงจาก 11.5 บาท ลงมา ที่ 7.5 บาท หรือลงมา 35% และเริ่มปรับขึ้นอีกครั้งแล้วในขณะนี้


                              (คลิกภาพเพื่อขยาย)


เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว ผมคิดว่าระดับราคา 7.5 บาทที่หุ้น CK ได้ไต่ลงไปแตะแล้วนั้นเป็นจุดต่ำสุดของการปรับฐาน เพราะ

  • ที่ราคาดังกล่าวตรงกับระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 สัปดาห์ หรือ SMA50W พอดี
  • สัญญาณ MACD เป็นลบพร้อมจะไต่ขึ้นไปทางด้านบวก
  • สัญญาณ RSI ต่ำกว่า 50 เล็กน้อยและกำลังไต่ขึ้นด้านบวก
  • ปริมาณการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำ
  • การลงนามว่าจ้างก่อสร้างทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนที่เป็นใต้ดิน 1 สัญญา และส่วนการวางรางอีก 1 สัญญา ภายใน 2 - 3 สัปดาห์ข้างหน้า (ก่อนสิ้นเดือน ก.พ. 2554)
  • การเข้าเก็บหุ้นของผู้บริหาร (ปลิว ตรีวิศวเวทย์ 24/01/54 ซื้อ 150,000 หุ้นที่ราคาเฉลี่ย 8.55 บาท และสิทธิเดช ตรีวิศวเวทย์ 25/01/54 ซื้อ 100,000 หุ้นที่ราคา 7.95 บาท)
  • การพักฐานจากจุดสูงสุด 11.5 บาท ดำเนินมาแล้วประมาณ 4 เดือน ใกล้เคียงกับระยะเวลาการลงสู่จุดต่ำสุดของการพักฐานรอบก่อนหน้า
  • เมื่อดูกราฟรายวัน พบว่าระดับราคา 7.5 บาท ตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน หรือ SMA200D พอดี ซึ่งเส้นนี้ได้เป็นแนวเด้งเชือกที่แข็งแกร่งสำหรับหุ้น CK มาตลอดการฟื้นตัวนับตั้งแต่ราคา 2 บาทเป็นต้นมา

จากข้อพิจารณาข้างต้นและลักษณะรูปแบบการไต่ระดับราคาของหุ้น CK ผมคิดว่าจากจุดนี้ไปราคาหุ้นน่าจะไต่กลับขึ้นไปที่ระดับ 11.5 บาท แล้วพักสักระยะ จากนั้นจึงพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ด้วยการเพิ่มขึ้นในช่วงประมาณ 50% จาก 11.5 บาท หรือน่าจะขึ้นไปที่จุดสูงสุดใหม่ประมาณ 17 บาท ดังรูปข้างล่าง ช่วงจังหวะการพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นช่วงที่มีการลงนามในสัญญาก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในลาวที่จะทำให้งานในมือของ CK มีปริมาณเกิน 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรกซึ่งมีกำหนดการลงนามประมาณปลายเดือนมีนาคม 2554 ดังนั้นในขณะนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเข้าเก็บสะสมหุ้น CK แต่เพื่อลดความเสี่ยงลงอีก นักลงทุนอาจจะรออีกนิดเพื่อให้ราคาของ CK ทะลุผ่านเส้นแนวโน้มขาลงระยะสั้นที่ระดับประมาณ 9 บาทไปก่อนก็ได้ครับ


                                (คลิกภาพเพื่อขยาย)

สำหรับท่านที่ลงทุนด้วยเงินกู้ยืมอาจคาดเดาว่าหุ้น CK จะมีพฤติกรรมคล้ายเดิมคือ หุ้นน่าจะพุ่งขึ้นไป 50% จาก 11.5 บาท หรือไปสูงสุดที่ 17 บาท แล้วปรับลง 30% หรือลงมาอยู่ที่ 12 บาทก่อนจึงจะมีแรงไปต่อ ดังนั้นจึงอาจขายหุ้นเฉพาะส่วนที่ซื้อมาในราคามากกว่า 12 บาท ออกไปก่อนที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปแถว ๆ 17 บาท เพื่อเอากำไรไปใช้หนี้ค่าดอกเบี้ยมาร์จิ้น แล้วค่อยกลับลงไปซื้อลงทุนเพิ่มที่ราคาประมาณ 12 บาท ในอีกหลายเดือนถัดมา แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่ทำอย่างที่กล่าวมา ผมก็ยังคิดว่าการซื้อเพิ่มระหว่างหุ้นพุ่งขึ้น 50% แล้วถือรอพักฐานไปอีกหลายเดือนก็ยังคุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในระหว่างการพักฐานนั้นอยู่ดีครับ

===========================================================

ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย" ที่ facebook.com/thstockinvest twitter.com/thstockinvest

เรียนรู้การดูกราฟหุ้นทางเทคนิคได้ที่ Free Stock Technical Analysis Tutorial

หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา  ชำแหละพื้นฐานหุ้น