Monday, June 25, 2012

Cutting loss คุณติดตั้งระบบความปลอดภัยในการลงทุน แล้วหรือยัง ?

เพื่อนนักลงทุนพอจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้บ้างหรือไม่ครับ
  • ยิ่งลงทุนนาน เงินต้นยิ่งร่อยหรอ
  • เคยได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ต่อมากำไรหายเกลี้ยง
  • หุ้นยิ่งตก ยิ่งเข้าซื้อ หุ้นยิ่งขึ้น ยิ่งขายออก
หากท่านใดเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น มีโอกาสสูงมากที่ท่านจะไม่ทราบว่า cutting loss คืออะไร หรือท่านอาจจะทราบว่าคืออะไร แต่ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร หรือท่านอาจจะทราบว่าต้องทำอย่างไร แต่ไม่เคยทำได้ซักที มาดูกันครับว่า cutting loss คืออะไรกันแน่ แล้วเราจะแก้นิสัยการลงทุนของเราเพื่อให้ cut loss เป็นได้อย่างไร ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจข้อความต่อไปนี้ว่าหมายความว่าอย่างไร
  • ไม่มีใครคาดการณ์ความเป็นไปของหุ้นและตลาดหุ้นได้ถูกต้องทุกครั้ง
  • การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และมีน้ำใจนักกีฬา เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องมี
  • การรักษาต้นทุนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
จากข้อความข้างบนสรุปได้ว่า ไม่มีใครลงทุนถูกต้องทุกครั้งไป แม้แต่เซียนระดับโลก แต่ที่เขารวยกันขึ้นมาได้เพราะมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ คือเมื่อตัดสินใจลงทุนไปทางใดทางหนึ่งแล้ว ภายหลังพบว่าเป็นการตัดสินใจผิด เขาจะไม่โทษคนอื่น เขายอมรับความผิดพลาด แต่โดยดี แล้วรีบป้องกันต้นทุนที่มี พร้อมกำไรที่สะสมมาได้ ไม่ให้กระทบกระเทือนมากเกินไป เมื่อรักษาต้นทุนไว้ได้แล้ว จึงหาโอกาสลงทุนใหม่ต่อไป ไม่ท้อถอย 
     จะว่าไปแล้ว กระบวนการปกป้องต้นทุนไม่ให้เสียหายมากเกินไป ก็คล้ายกับสิ่งที่มีกันอยู่ทุกบ้าน นั่นคือ เบรกเกอร์ตัดวงจรไฟฟ้า (circuit breaker) หรือฟิวส์ (fuse) อันเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้ป้องกันไม่ให้มีคนถูกไฟดูดตาย หรือไม่ให้ไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดเพลิงไหม้ หลักการทำงานของอุปกรณ์ทั้งสองคือ การตรวจดูปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวมัน ถ้ามีขนาดมากเกินกว่าขนาดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น 5 แอมแปร์ เป็นต้น ตัวมันเองจะเกิดความร้อนขึ้นจนไปกระตุ้นให้กลไกทางกลตัดไฟที่ป้อนเข้ามาในบ้าน (ในกรณีเบรกเกอร์) หรือความร้อนทำให้ตัวมันเองหลอมละลายขาดไปจนกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าบ้านไม่ได้ เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกตัดออกไปแล้ว คนที่ถูกไฟฟ้าดูดก็อาจจะไม่ตาย หรือสายไฟฟ้าที่เริ่มร้อนจากการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าพร้อมกันหลายตัวเกินไป ก็จะเย็นลงไม่เกิดลุกไหม้ขึ้น 
     เนื่องจากเราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าการตัดสินใจลงทุนของเราจะถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ ฉันใดก็ฉันนั้น เราจะต้องติดตั้งระบบเบรกเกอร์ พร้อมตั้งค่าให้เบรกเกอร์เริ่มตัดไฟ ในการลงทุนของเราทุกครั้งเสมอ จึงจะป้องกันต้นทุนที่หามาได้อย่างยากลำบากของเราไม่ให้เกิดความเสียหายย่อยยับลงไป เบรกเกอร์ในการลงทุน ก็คือ การตัดขาดทุน หรือ cutting loss นั่นเอง หมายความว่า ทุกครั้งที่เราเข้าลงทุนซื้อหุ้นที่ระดับราคาใด เราต้องตั้งระดับการป้องกันต้นทุนไว้เสมอ เช่น หากเราเข้าซื้อหุ้น IVL ที่ราคา 29.00 บาท โดยหวังว่า ผลประกอบการ ปี 2012 ไตรมาส 2 จะออกมาดี และหุ้นจะฟื้นขึ้นไปในอนาคต ก่อนเข้าซื้อต้องตั้งระดับการตัดขาดทุนไว้ก่อน เช่น ยอมขาดทุน 10% หากการตัดสินใจเข้าซื้อของเราเป็นการตัดสินใจที่ผิด ดังนั้นถ้าเข้าซื้อหุ้น IVL ที่ 29.00 บาท จะต้องขายหุ้นที่ซื้อมาที่ราคานี้ออกไปทั้งหมดทันทีโดยไม่ลังเล เมื่อราคาหุ้นตกลงมาเหลือ 29.00 x 0.90 = 26.10 บาท ปัดเศษให้ลงตัวตามสเปรดราคาหุ้นของ ตลท. เป็น 26.00 บาท การขายหุ้นที่ซื้อมา 29.00 บาท ออกไปที่ 26.00 บาท เป็นการขายที่ขาดทุนประมาณ 10% แต่ปกป้องต้นทุนที่เหลืออีก 90% เอาไว้สำหรับลงทุนในโอกาสต่อไปครับ
     นอกจาก cutting loss ให้เป็นแล้ว ก่อนเข้าลงทุนใด ๆ เราควรประเมินความเสี่ยงก่อนว่า ระดับราคาที่เข้าลงทุนนั้นเสี่ยงมากน้อยเพียงไร วิธีการอย่างหนึ่งคือการเทียบราคาเข้าลงทุน กับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เช่น มูลค่าที่แท้จริงของ IVL ล่าสุดรวมผลประกอบการ 2012 ไตรมาส 1 อยู่ที่ มูลค่าที่แท้จริง 39.00 บาท - 48.25 บาท หรือมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 43.60 บาท หากเราเข้าลงทุนที่ 29.00 บาท แล้วหุ้นขึ้นไปที่ 43.60 บาท เราจะได้กำไร 43.60 - 29.00 = 14.60 บาท แต่หากเราเข้าซื้อที่ 29.00 บาท แล้วหุ้นตกแต่เราตัดขาดทุนขายหุ้นที่ซื้อมาไปที่ 26.00 บาท ตามที่ตั้งไว้แต่แรก เราจะขาดทุน 29.00 - 26.00 = 3.00 บาท ดังนั้น ถ้าเราตัดสินใจถูกเราได้กำไรมหาศาล 14.60 บาท แต่ถ้าตัดสินใจผิด เราขาดทุนนิดหน่อย 3.00 บาท หรือมีขนาดกำไรต่อขาดทุน 14.60/3.00 = 4.87 เท่า ผมฟังคุณธิติ ธาราสุข ให้สัมภาษณ์ทาง Money Channel ได้ความรู้ในส่วนนี้มาว่า ถ้าขนาดกำไรต่อขาดทุน มีค่าน้อยกว่า 3 เท่า ถือว่าเสี่ยงเกินไป ไม่ควรเข้าลงทุนเสียตั้งแต่แรก จะว่าไปแล้ว การประเมินความเสี่ยงในลักษณะนี้ ก็ตรงกับส่งที่คุณโมห์นิศ ปะไพร กล่าวไว้ในหนังสือ นักลงทุนดันโด ที่อธิบายแนวการลงทุนแบบดันโดสั้น ๆ ว่า เป็นการลงทุนที่ให้ผลแบบ ถ้าออกหัว จะได้กำไรมหาศาล ถ้าออกก้อย จะเสียเงินนิดหน่อย นั่นเอง ผมรับใช้มาถึงตรงนี้ก็หวังว่าเพื่อนนักลงทุนคงพอจะเข้าใจเกี่ยวกับการตัดขาดทุน หรือ cutting loss แล้วนะครับ ที่เหลือก็คือ การลงมือติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยนี้กับการลงทุนทุกครั้งของท่าน ขอย้ำว่า ถ้าท่านไม่ติดตั้งระบบ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ที่ว่านี้ ผมรับรองได้ว่า สภาพการณ์ ยิ่งลงทุนนาน เงินต้นยิ่งร่อยหรอ เคยได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ต่อมากำไรหายเกลี้ยง หุ้นยิ่งตก ยิ่งเข้าซื้อ หุ้นยิ่งขึ้น ยิ่งขายออก ดังที่ผมยกมาในตอนต้นบทความนี้ คงจะตามหลอกหลอนท่านต่อไป จนกว่าท่านจะถูกบีบให้ออกจากตลาดไปในที่สุดครับ
     เพื่อนนักลงทุนอาจจะถามผมต่อว่า แล้วถ้าไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นล่ะ จะทำอย่างไร คำตอบคือ ท่านคงจะต้องเชื่อรายงานการวิจัยของโบรกเกอร์ไปก่อน จนกว่าท่านจะสามารถหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเองได้ วิธีการอย่างง่ายทำได้ดังนี้ครับ ผมขอยกตัวอย่างหุ้น IVL อีกที ผมไปที่หน้าเว็บ SAA Consensus http://www.settrade.com/AnalystConsensus/C04_10_stock_saa_p1.jsp?txtSymbol=IVL ซึ่งรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับหุ้นที่เราสนใจจากโบรกเกอร์ต่าง ๆ ไว้ ท่านสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ฟรี ผมเอาตัวอย่างหน้าเว็บนี้มาให้ดูดังภาพข้างล่างครับ




จากหน้า SAA Consensus เป้าหมายราคา 12 เดือนข้างหน้า (นับจากวันที่ของรายงานการวิจัย) โดยเฉลี่ยให้ราคาของ IVL ไว้ที่ 41.81 บาท ปัดเศษตามสเปรดราคาหุ้นของ ตลท. ไปที่ 41.75 บาท สมมุติเราจะเข้าซื้อหุ้น IVL ที่ราคา 29.00 บาท (ก่อน เฟดจะบอกว่า ไม่มี QE3 มีแต่ยืดอายุ operation twist ออกไปอีก 6 เดือน) ถ้าเราตัดสินใจถูก ซื้อแล้วหุ้นขึ้นไปที่ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ SAA Concensus 41.75 บาท เราจะได้กำไร 41.75 - 29.00 = 12.75 บาท ถ้าเราตัดสินใจผิด แต่ตัดขาดทุนขายหุ้นที่ซื้อมานั้นออกไปที่ 26.00 บาท เราจะขาดทุน 29.00 - 26.00 = 3.00 บาท (ประมาณ 10%) คิดเป็นขนาดกำไรต่อขาดทุน 12.75 / 3.00  = 4.25 เท่า ซึ่งมากกว่า 3 เท่าถือว่า ไม่เสี่ยงมากเกินไป เมื่อพิจารณาดังนี้แล้วจึงเข้าซื้อหุ้น IVL ที่ราคา 29.00 บาท 
     สำหรับท่านที่ได้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยตามที่ผมกล่าวมาและทำตามระบบจนเป็นนิสัยแล้ว ท่านจะสามารถรักษาเงินต้นไว้ได้ ส่วนเงินจะงอกเงยมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับว่าท่าน let the profit runs เป็นหรือไม่ วิธีการหนึ่งในการ ปล่อยให้เงินทำงาน หรือปล่อยให้กำไรงอกเงยไม่ขายออกเร็วเกินไปคือการเลื่อนระดับการทำงานของระบบรักษาความปลอดภัยขึ้นไป ตามราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นไป เช่น สมมุติว่า ท่านลงทุนหุ้น IVL ที่ 29.00 บาท โดยตั้งการตัดขาดทุน 10% ไว้ที่ 26.00 บาท ต่อมาราคาหุ้นไต่ขึ้นไปถึง  41.75 บาท อันเป็นราคาเฉลี่ยของ SAA Consensus แล้ว แต่เนื่องจากพื้นฐานหุ้น ณ ระดับราคานั้นยังคงดีอยู่ ท่านจึงให้โอกาสหุ้นได้พักปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ โดยการปรับระดับการตัดขาดทุนจาก 26.00 บาท ขึ้นมาเป็น (29.00 + 41.75) / 2 = 35.38 หรือประมาณ 35.45 บาท เท่ากับว่าท่านได้ล็อคเอากำไร 35.45 - 29.00 = 6.45 บาทเอาไว้ก่อน หากราคาหุ้นพักปรับฐานลงมาไม่ลึกถึงระดับนี้ แล้วไปต่อ ท่านก็ทยอย เลื่อนระดับการตัดขาดทุนตามไปทีละขยัก เป็นต้น
     เนื่องจากความผันผวนอย่างมากของราคาหุ้นในระหว่างวันอาจเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ดังนั้นในการลงมือขายตัดขาดทุนควรรอให้ตลาดปิดก่อน แล้วใช้ราคาปิดของวันเป็นจุดตัดสินใจ หากราคาหุ้นปิดต่ำกว่าระดับการตัดขาดทุนที่ตั้งไว้ จึงขายออกในวันทำการถัดไปครับ


===================================================

ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา" ที่
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา "ชำแหละพื้นฐานหุ้น "

ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 150 วัน ในกราฟหุ้น CK


ผมเอาบทบาทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 150 วัน (SMA150D เส้นสีเหลือง) ในกราฟรายวันของหุ้น CK  มาให้เพื่อนนักลงทุนดูกันตามภาพข้างล่างครับ จุดสำคัญในกราฟแสดงไว้ด้วยลูกศรแดง สำหรับเส้นตรงสีแดงเฉียงลงไปทางขวานั้นคือ เส้นซัพพลายซึ่งบ่งชี้สภาวะที่มีผู้อยากขายหุ้นออกมามากกว่าผู้อยากซื้อหุ้น หากราคาหุ้นสามารถฝ่าเส้นสีแดงเฉียงลงนี้ขึ้นไปได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปได้อีกไกล ส่วนเส้นตรงแดงแนวนอนนั้นเป็นระดับแนวต้านที่ราคาหุ้นสามารถผ่านขึ้นมาได้แล้ว และในขณะนี้ได้กลายเป็นแนวรับ ( 6.70 บาท) สุดท้ายเป็นเส้นคู่สีเขียวแสดงช่องแนวโน้มราคาหุ้นซึ่งขณะนี้ราคาหุ้น CK อยู่บริเวณด้านล่างของช่องแนวโน้มนี้พอดีครับ



ดูเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ประจำตัวของหุ้นที่น่าสนใจได้ที่ "เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ประจำตัวของหุ้นไทย" ครับ

UPDATE:
มีข่าวจากรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2012 รัฐมนตรีต่างประเทศของสปป.ลาวให้สัมภาษณ์ว่า ลาวได้เลื่อนการสร้างเขื่อนไซยะบุรีออกไปก่อน นับตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2011 เป็นครั้งแรกที่ทางการลาวออกมายอมรับการเลื่อนโครงการดังกล่าว ข่าวนี้ทำให้ฟ้าที่เริ่มเปิดของ ช. การช่าง มืดมัวลงอีกครั้ง ท่านที่มี CK อยู่ลองพิจารณาดูครับว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับข่าวนี้

http://www.reuters.com/article/2012/07/13/laos-dam-idUSL3E8ID2AN20120713


===================================================

ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา" ที่
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา "ชำแหละพื้นฐานหุ้น "

fb/thstockinvest Quick Investment Info

Last updated January 6, 2017

Short URL = http://bit.ly/Mm2f9C 

ข้อมูลอัพเดต
Tools


Library

Worksheet


ลงทุนแล้วดูแลสุขภาพและความงามด้วยนะครับ คลิก =>(store.weloveshopping.com/beautifybynim)

==============================
No time to invest in stocks? Open your own stock trading account and let a manager at LazyInvestments.com trades for you. ]
==============================

ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน เพิ่มพูนกระแสเงินสด

มูลค่ากิจการ = ส่วนของเจ้าของ + มูลค่าปัจจุบันของ [ส่วนของเจ้าของที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลที่ได้รับระหว่างเป็นเจ้าของกิจการ 10 ปี]

Search for "lazyinvestments.com" in Facebook and Google !

ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 80 วัน ในกราฟหุ้น JAS

ผมเอาบทบาทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 80 วัน (SMA80D เส้นสีเหลือง) ในกราฟรายวันของหุ้น JAS มาให้เพื่อนนักลงทุนดูกันตามภาพข้างล่างครับ จุดสำคัญในกราฟแสดงไว้ด้วยลูกศรแดง เส้นตรงสีเขียวทั้งสองเส้นฟอร์มช่องแนวโน้มราคา โดยมีเส้นบนเป็นเส้นซัพพลายซึ่งบ่งชี้สภาวะที่มีผู้อยากขายหุ้นออกมามากกว่าผู้อยากซื้อหุ้น และเส้นล่างเป็นเส้นดีมานด์ซึ่งบ่งชี้สภาวะที่มีผู้อยากซื้อหุ้นมากกว่าผู้อยากขายออก  ขณะนี้ราคาหุ้น JAS อยู่บริเวณกึ่งกลางช่องแนวโน้มนี้พอดี และอยู่ไม่ห่างจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 80 วันซึ่งได้รับการทดสอบแล้วสองครั้งครับ ในโพสต์ก่อนนี้ผมได้รับใช้เพื่อนนักลงทุนโดยการมองกราฟหุ้น JAS ว่ากำลังสร้างรูปแบบ reverse head and shoulder เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ดูรายละเอียดมุมมองนี้ได้ที่ "เป้าหมายการฟื้นตัวของหุ้น JAS ตามทฤษฎี reverse head and shoulder และ fibonacci retracement" ครับ






ดูเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ประจำตัวของหุ้นที่น่าสนใจได้ที่ "เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ประจำตัวของหุ้นไทย" ครับ


เข้าออกหุ้นตามแรงซื้อแรงขาย ระบบ WTBMS ช่วยตัดสินใจ ไม่ใช้อารมณ์ ! ]

==============================

ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน เพิ่มพูนกระแสเงินสด

มูลค่ากิจการ = ส่วนของเจ้าของ + มูลค่าปัจจุบันของ [ส่วนของเจ้าของที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลที่ได้รับระหว่างเป็นเจ้าของกิจการ 10 ปี]

ค้นหาในเฟซบุ๊ค "WTBMS"

ค้นหาในกูเกิล "WTBMS" 


Saturday, June 23, 2012

ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 75 วัน ในกราฟหุ้น IVL

ผมเอาบทบาทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 75 วัน (SMA75D) ในกราฟรายวันของหุ้น IVL มาให้เพื่อนนักลงทุนดูกันตามภาพข้างล่างครับ จุดสำคัญในกราฟแสดงไว้ด้วยลูกศรแดง สำหรับเส้นตรงสีชมพูทั้งสองเส้นนั้นคือ เส้นซัพพลายซึ่งบ่งชี้สภาวะที่มีผู้อยากขายหุ้นออกมามากกว่าผู้อยากซื้อหุ้น หากราคาหุ้นยังไม่สามารถฝ่าเส้นสีชมพูขึ้นไปได้ ก็ยังไม่แน่นอนว่าหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง หากเปรียบจุดต่ำสุดเป็นอู่รถเมล์ เส้นสีชมพูก็คือป้ายรถเมล์ป้ายแรก ใครไม่อยากปวดหัวกับการผันผวนของราคาหุ้นบริเวณอู่รถเมล์ ไปเดินช้อปปิ้งก่อนค่อยกลับมารอขึ้นรถที่ป้ายแรกก็ได้นะครับ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับ



ดูเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ประจำตัวของหุ้นที่น่าสนใจได้ที่ "เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ประจำตัวของหุ้นไทย" ครับ

===================================================

ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา" ที่
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา "ชำแหละพื้นฐานหุ้น "


Sunday, June 17, 2012

เป้าหมายการฟื้นตัวของหุ้น JAS ตามทฤษฎี reverse head and shoulder และ fibonacci retracement

     ผมเข้าไปดู [ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JAS ] ที่หน้าเว็บของ settrade.com พบว่า คุณหมอบำรุง  ศรีงาน ถือหุ้นตัวนี้อยู่ 68.5 ล้านหุ้น มีชื่อนักลงทุนท่านนี้ บ่งบอกได้ว่า JAS ยังจะได้ไปต่อ ในเกม Thailand SET Got Talent ผมจึงไปดูกราฟหุ้นในกรอบใหญ่ของ JAS พบว่า กำลังสร้างรูปแบบกราฟ reverse head and shoulder หรือหัวและไหล่กลับด้าน ดังภาพข้างล่าง ในขณะนี้ (17 มิ.ย. 2012) เราได้ไหล่ซ้ายและหัวครบสมบูรณ์แล้ว ส่วนไหล่ขวาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหลืออีกเพียงนิดเดียวก็จะเสร็จสมบูรณ์ ตามรูปแบบ reverse head and shoulder หัวสูงจากเส้นคอประมาณ 3.50 - 1.40 = 2.10 บาท ดังนั้นจากเส้นคอขึ้นไปจึงมีเป้าหมายอยู่ที่ 3.50 + 2.10 = 5.60 บาทครับ ระหว่างการพักปรับฐาน ราคาหุ้นลดลงจากจุดสูงสุด 3.92 บาท ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1.40 บาท ในมุมมองของทฤษฎี Fibonacci Retracement การฟื้นตัวหลังการพักปรับฐานมีเป้าหมายที่ระดับใดบ้าง จะใกล้เคียงกับเป้าหมายของรูปกราฟ reverse head and shoulder หรือไม่ มาลองหาค่าดูครับ



หุ้น JAS ปรับฐานจาก 3.92 บาท ลงไปที่ 1.40 บาท แล้วฟื้นตัว 


Fibonacci Ratio ได้แก่

-2.618 , -2.000 , -1.618 , -1.382 , -1.272 , -1.127 , -1.000 , -0.886 , -0.618 , -0.382 , -0.500 ,  -0.236 , 0.000 , 0.236 , 0.382 , 0.618 , 0.786 , 0.886 , 1.000 , 1.127 , 1.272 , 1.382 , 1.618 , 2.000 , 2.618

Fibonacci Retracement: Rebound from a down trend


Retracement = High price - Low price = 3.92 - 1.40 = 2.52
Targets = High price + [Retracement x Fibonacci Ratio] 
= 3.92 + ( 2.52 x -2.618 ) = -2.68
= 3.92 + ( 2.52 x -2.000 ) = -1.12
= 3.92 + ( 2.52 x -1.618 ) = -0.16
= 3.92 + ( 2.52 x -1.500 ) = 0.14
= 3.92 + ( 2.52 x -1.382 ) = 0.44
= 3.92 + ( 2.52 x -1.272 ) = 0.71
= 3.92 + ( 2.52 x -1.127 ) = 1.08
= 3.92 + ( 2.52 x -1.000 ) = 1.40
= 3.92 + ( 2.52 x -0.886 ) = 1.69
= 3.92 + ( 2.52 x -0.618 ) = 2.36
= 3.92 + ( 2.52 x -0.500 ) = 2.66
= 3.92 + ( 2.52 x -0.382 ) = 2.96 *
= 3.92 + ( 2.52 x -0.236 ) = 3.33 **
= 3.92 + ( 2.52 x 0.000 ) = 3.92 *** (จุดสูงสุดเดิม 3 พ.ค 2011)
= 3.92 + ( 2.52 x 0.236 ) = 4.51 **** (จุดเด้งกลับ 29 ต.ค. 2012)
= 3.92 + ( 2.52 x 0.382 ) = 4.88 *****
= 3.92 + ( 2.52 x 0.500 ) = 5.18 ****** (เปลี่ยนสเปรดราคาเป็น 0.05 บาท 5.18 อาจเป็น 5.15 / 5.20)
= 3.92 + ( 2.52 x 0.618 ) = 5.48 #
= 3.92 + ( 2.52 x 0.786 ) = 5.90
= 3.92 + ( 2.52 x 0.886 ) = 6.15
= 3.92 + ( 2.52 x 1.000 ) = 6.44
= 3.92 + ( 2.52 x 1.127 ) = 6.76
= 3.92 + ( 2.52 x 1.272 ) = 7.13
= 3.92 + ( 2.52 x 1.382 ) = 7.40
= 3.92 + ( 2.52 x 1.500 ) = 7.70
= 3.92 + ( 2.52 x 1.618 ) = 8.00
= 3.92 + ( 2.52 x 2.000 ) = 8.96
= 3.92 + ( 2.52 x 2.618 ) = 10.52

ขณะนี้ (17 มิ.ย. 2012) ราคาหุ้น JAS อยู่ระหว่าง * และ ** โดยสรุปเป้าหมายการฟื้นตัวตามทฤษฎี reverse head and shoulder และ fibonacci retracement อยู่ที่ 5.60 บาท และ 5.48 # บาท ตามลำดับ

Update:


- 17 July 2012 ราคาหุ้นเคลื่อนขึ้นไปอยู่ในช่วงระหว่าง Fibonacci target 3.33 ** บาท และ 3.92 *** บาท

- 5 October 2012 ราคาหุ้นอยู่ระหว่าง  Fibonacci target 3.92 *** บาท (สูงสุดเดิมเมื่อ พ.ค 2011) และ 4.51 **** บาท การวนเวียนอยู่ระหว่าง 3.92 และ 4.00 ในขณะนี้ เป็นการย้ำฐานที่จุดสูงสุดเดิมให้แน่น เอาแรงเพื่อขึ้นไปทดสอบ 4.51 ต่อไปครับ
- 2 November 2012 ราคาหุ้น JAS อยู่ระหว่าง  Fibonacci target 4.88 ***** บาท และ 5.18 ****** บาท 

ทางลัดมาที่หน้านี้ [ http://goo.gl/ztIbR ]


===================================================
ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน นำหนุนกระแสเงินสด

มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = มูลค่าปัจจุบันของ (เงินสด + กำไรของผู้ถือหุ้นและเงินปันผลระหว่างถือหุ้น 10 ปี + เงินรับเมื่อขายกิจการทั้งหมด)


พิมพ์คำว่า "ลงทุนหุ้นไทย" ในกูเกิล


 facebook.com/truestockvalue

 twitter.com/thstockinvest
 gplus.to/chamlaehoon
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา " ชำแหละพื้นฐานหุ้น"


Saturday, June 16, 2012

นักลงทุนต่างชาติ NVDR เทขายหุ้น IVL ยิ่งขาย ยิ่งได้ราคา

ผมคิดว่าประวัติศาสตร์ของหุ้น IVL กำลังเริ่มซ้ำรอยครับ ภาพข้างล่างเป็นกราฟบันทึกข้อมูลปริมาณหุ้นในมือของนักลงทุนต่างชาติ NVDR (เส้นสีน้ำเงิน) เทียบกับราคาหุ้น (เส้นสีแดง) ในกรอบสีเขียวด้านซ้ายมือ ผมเน้นเหตุการณ์เทขายหุ้นของนักลงทุนกลุ่มนี้เมื่อตอนต้นปี 2012 ในครั้งนั้น ต่างชาติยิ่งเทขายหุ้น ราคาหุ้นยิ่งพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากกระหน่ำขายหุ้นออกมาจนสาแก่ใจแล้ว ต่างชาติจึงกลับลำเข้าเก็บสะสมหุ้นแบบเรื่อย ๆ ไม่รีบในขณะที่ราคาหุ้นค่อย ๆ ซึมลงอย่างต่อเนื่อง แบบว่ายิ่งซื้อยิ่งได้ของถูก ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติได้เริ่มเทขายหุ้นออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พร้อม ๆ กันกับการฟื้นตัวของราคาหุ้นดังจะเห็นได้จากกรอบเขียวด้านขวามือ ซึ่งถ้าดูให้ดี ๆ จะเห็นได้ว่า เริ่มคล้ายคลึงกับกรอบสีเขียวด้านซ้ายมือมากขึ้นทุกขณะแล้วครับ ถ้าประวัติศาสตร์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาจะซ้ำรอยอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้ เราคงได้เห็นการถล่มขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ NVDR พร้อมกับการพุ่งทะยานของราคาหุ้น ในอีกไม่นานนี้ครับ




===================================================

ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา" ที่
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา "ชำแหละพื้นฐานหุ้น "