วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2011 เป็นวันสุดท้ายของการระบายหุ้นออกรอบล่าสุดของนักลงทุนต่างชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติได้เข้าสะสมหุ้นไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน 2011 เป็นวันที่ดัชนี SET หลุดเส้นแนวรับสำคัญ ตลาดปิด SET ร่วง 39.00 จุด โดยมีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,700.53 ล้านบาท เช้าวันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2011 ทันทีที่ตลาดเปิดทำการ ผมล้างพอร์ตขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดออกมา บ่ายวันนั้นตลาดปิด SET ร่วงอีก 32.43 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 3,156.74 ล้านบาท หลังจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ต่างชาติเทขายเป็นครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2011 โดยขายสุทธิ 3,059.87 ล้านบาท ทำให้ SET ปิดร่วง 54.10 จุด รวมสามวันทำการ SET ร่วงรวดเดียว 125.53 จุด จากนั้นเป็นต้นมาต่างชาติกลับลำเข้าเก็บหุ้นมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันดังผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่ต่างชาติหยุดขายหุ้นในวันที่ 26 กันยายน 2011 ดัชนี SET ยังคงกระชากลงไปอีก 48.61 จุด ไปปิดที่ 855.45 จุดในวันที่ 4 ตุลาคม 2011 ซึ่งระหว่างช่วงเวลานั้นเองต่างชาติได้เก็บหุ้นไทยในราคาถูกไปทั้งสิ้น 6,812.86 ล้านบาท (แบบนี้เองที่พูดกันว่าซื้อถูกเพื่อรอเอาไปขายแพงในภายหลัง)
แม้ว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมจะ ***โชคดี*** ที่สามารถลดความเสียหายด้วยการล้างพอร์ตก่อนที่ SET จะร่วงลงไปมากถึง ร้อยสามสิบกว่าจุด แต่ผมเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการฟื้นตัวของ SET หลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจาก ***ไม่รู้*** ว่า ดัชนีที่ 855 จุดจะเป็นระดับที่ต่ำสุดของการปรับฐานในครั้งนั้น จะเห็นว่า ในสองประโยคที่ผ่านมา ผมเน้นคำด้วยดอกจันทน์ไว้สองคำคือ โชคดี และ ไม่รู้ จากการทบทวนการลงทุนที่ผ่านมา ผมได้ข้อสรุปว่า ตราบใดที่บันทึกการลงทุนของผมยังมีสองคำนี้ปรากฎอยู่ ผมคงไม่มีวันประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงได้ใช้โอกาสแห่งโชคดีในครั้งนั้นเข้า ชำแหละ เจาะลึก ค้นคว้า ศึกษา วิจัย และวิจารณ์ ทั้งตัวหุ้น ดัชนีตลาดหุ้น ความเป็นไปของเศรษฐกิจระดับโลก และพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ จากข้อมูลขั้นปฐมภูมิได้แก่ งบการเงินของกิจการ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น การเคลื่อนไหวของดัชนี SET ปริมาณซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ปริมาณการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติในบัญชี NVDR เป็นต้น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการตัดคำว่าโชคดี และไม่รู้ออกจากสารบบการลงทุนของผม
เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ตื่นตระหนกเมื่อเดือนกันยายน 2011 ผมเก็บข้อมูลปริมาณซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแบบรายวัน แล้วทำการสะสมมูลค่าการซื้อขายสุทธินั้น สิ่งที่ได้ออกมาคือ มูลค่าของหุ้นไทยที่มีอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติแบบสัมพัทธ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากการตั้งสมมุติฐานว่าต่างชาติได้ขายหุ้นไทยทั้งหมดออกไปไม่มีเหลืออยู่เลยในวันที่ 12 มีนาคม 2009 (ระหว่างวิกฤติซับไพรม์ ก่อนการปราบเสื้อแดงปี 52 เล็กน้อย) ทำให้ผมทราบปริมาณการลงทุนในหุ้นไทยแบบรายวัน เมื่อโฟกัสกลับไปศึกษาผลลัพธ์ที่ออกมาในช่วงเหตุการณ์จันทร์ทมิฬ 26 กันยายน 2011 ผมได้ความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าหุ้นไทยที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติและดัชนี SET ดังภาพข้างล่างครับ
ในภาพข้างบน เส้นสีฟ้าเป็นปริมาณเงินลงทุนในหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ อ่านค่าจากสเกลด้านซ้าย (ล้านบาท) และเส้นสีแดงเป็นระดับดัชนี SET (จุด) อ่านค่าจากสเกลด้านขวา จะเห็นได้ว่าในภาพรวมแล้ว ระดับดัชนี SET เป็นไปตามระดับการลงทุนในหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นถ้าเราทราบแนวโน้มระดับการลงทุนในหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ เราก็จะ ***รู้*** แนวโน้มระดับดัชนี SET และตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้องโดย ***ไม่ต้องใช้โชค*** เข้าช่วยแต่อย่างใด ในภาพผมล้อมวงกลมแดงไว้สองแห่ง ด้านบนเป็นบริเวณที่ดัชนี SET ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบประมาณ 15 ปี จะเห็นได้ว่า ต่างชาติเริ่มระบายหุ้นทิ้งพร้อม ๆ กับการปรับฐานลงมาของดัชนี SET ดังนั้น ถ้าพบว่า การสะสมหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติได้มาถึงระดับที่เขาน่าจะกลับทิศเป็นระบายออกแล้ว SET ก็จะตามการกลับตัวนั้นทันที ส่วนอะไรจะบอกว่าต่างชาติจะกลับลำเปลี่ยนทิศ หรือแค่ลดพอร์ตระยะสั้นจะได้กล่าวต่อไปครับ วงกลมแดงอีกแห่งหนึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของรูปซึ่งต่างชาติได้ขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องจนปริมาณหุ้นในมือลดลงมาถึงจุดกลับตัวแล้ว เขาก็จะหยุดขาย แต่เนื่องจากการปรับฐานลงจะทำให้คนกลัวอย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่ต่างชาติหยุดขายและเปลี่ยนเป็นซื้อแล้ว ดัชนี SET จะยังคงลงไปต่ออีกระยะหนึ่งครับ ในภาพข้างบนเป็นการมองเหตุการณ์ในกรอบการปรับพอร์ตของต่างชาติแบบย่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นถ้าผมมีหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่าการปรับพอร์ตของต่างชาติในวงกลมแดงจะเป็นการกลับลำกลับทิศของทุนต่างชาติ ผมก็คงจะตามต่างชาติ ขายหุ้นออกไปเสียตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม 2011 ขณะที่ SET ยังอยู่แถว ๆ 1,100 จุด โดยไม่รอให้ SET หลุดแนวรับสำคัญเสียก่อนค่อยมาเทขายตอนตลาดเปิดแถว ๆ 980 จุด และเมื่อเกิดความตื่นตระหนกขึ้นได้ระยะหนึ่งแล้ว มีหลักฐานน่าเชื่อได้ว่าการกลับมาซื้อของต่างชาติเป็นการกลับทิศรอบใหม่ ผมก็คงมั่นใจในสิ่งที่ปัจจัยทางเทคนิคในภาพใหญ่บอกว่า 855 เป็นจุดต่ำสุดของการปรับฐาน และไม่ปล่อยให้กำไรเกิน 50% ภายในระยะเวลาสามสัปดาห์ผ่านล่วงไปแบบไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างที่ได้เกิดขึ้น
คราวนี้มาดูหลักฐานการกลับลำของต่างชาติกันครับ ภาพข้างล่างเป็นปริมาณเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ผมเก็บข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วสังเคราะห์ขึ้น โดยในกราฟเส้นสีน้ำเงินมีจุดต่ำสุดตรงกับวันที่ 12 มีนาคม 2009 สมมุติว่าในวันดังกล่าวต่างชาติลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยจนไม่เหลือหุ้นอยู่เลย ดังนั้นผมจะให้ปริมาณเงินลงทุนในหุ้นไทยของต่างชาติในวันดังกล่าวเป็นฐานอ้างอิงโดยไม่สนใจว่า แท้จริงแล้วต่างชาติได้ล้างพอร์ตออกไปหมดเกลี้ยงหรือไม่ เพราะผมไม่ต้องการทราบตัวเลขที่แท้จริง แต่ต้องการทราบทิศทางการลงทุนและปริมาณการเปลี่ยนแปลงของหุ้นในมือของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้น จากกราฟจะสังเกตได้ว่า ก่อนเกิดวิกฤติซับไพรม์ ต่างชาติเคยถือหุ้นไทยอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าทุกวันนี้มาก (ระดับเส้นแดงหนามีดอกจันทน์ 4 ดวง) จะด้วยเหตุผลใดก็ตามในระหว่าง 1 ปี 8 เดือน เริ่มจากวันที่ 26 กรกฎาคม 2007 ไปจนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2009 ต่างชาติลดการถือหุ้นไทยลงไปทั้งสิ้น 247,004 ล้านบาท รวดเร็วและน่ากลัวมาก หลังจากนั้น ได้กลับลำแนวโน้มใหญ่เป็นซื้อสะสมหุ้นไทย ระหว่างทางได้ซื้อเข้าและขายออกเป็นรอบ ๆ ตามกรอบช่องแนวโน้มเส้นสีเขียวในภาพข้างล่าง หลังจากทำการปรับฐานในช่วงสั้น ๆ ต่างชาติจะเข้าซื้อจนยอดถือหุ้นไทยเป็นนิวไฮ ที่สูงขึ้นเป็นจังหวะ ในภาพจะเห็นว่ากรอบแนวโน้มมีขอบเขตเป็นเส้นขนานสีเขียว ด้านบน 2 เส้น ด้านล่าง 2 เส้น ที่ผ่านมา ต่างชาติจะใช้เส้นขอบเขต 4 เส้นนี้ เป็นจุดกลับลำในการซื้อขายหุ้นไทย เป็นรอบ ๆ ที่ผ่านมามีการกลับลำที่จุดสูง 5 ครั้ง แบ่งเป็นที่ขอบบนด้านนอก 2 ครั้ง ขอบบนด้านใน 3 ครั้ง มีการกลับลำที่จุดต่ำ 5 ครั้ง แบ่งเป็นที่ขอบล่างด้านนอก 2 ครั้ง ขอบล่างด้านใน 3 ครั้ง
ณ สิ้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012 ปริมาณหุ้นไทยที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติ มีค่า 164,168.57 ล้านบาท (กำหนดให้วันที่ 12 มีนาคม 2009 ต่างชาติไม่มีหุ้นไทยเหลืออยู่เลย) ในภาพข้างบนจะเห็นได้ว่า ปลายขวาสุดของเส้นสีน้ำเงินได้ข้ามผ่านจุดสูงในอดีต เมื่อเดือนปี 2006 (เส้นแนวนอนสีแดงล่างสุดไม่มีดอกจันทน์แดง) ขึ้นไปได้อย่างไม่ลังเล และในขณะนี้กำลังจะชนจุดสูงที่ทำไว้เมื่อต้นปี 2008 (เส้นแนวนอนสีแดงมีดอกจันทน์แดง 1 ดวง) ระดับนี้อยู่ที่ 169,578.38 ล้านบาท ซึ่งตรงกันพอดีกับเส้นขอบเขตแนวโน้มสีเขียว ขอบบนด้านใน ถือว่าจุดที่ว่านี้เป็นแนวต้านการซื้อหุ้นของต่างชาติที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากถูกต้านจากทั้งเส้นสีเขียวขอบบนด้านใน และเส้นสีแดงมีดอกจันทน์ 1 ดวง ระดับดังกล่าว อยู่ห่างจากระดับการถือหุ้นไทยของต่างชาติในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012 เพียง 5,409.81 ล้านบาท ถ้าในสัปดาห์นี้ต่างชาติซื้อสุทธิเฉลี่ยวันละ พันล้านเศษ ภายในวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2012 เส้นสีน้ำเงินก็จะชนแนวต้านดับเบิ้ลหินดังกล่าวแล้วครับ ดังนั้นสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดว่า ต่างชาติจะกลับลำขายหุ้นไทยออกยาวที่จุดดับเบิ้ลหินนี้หรือไม่ ถ้าต่างชาติกลับลำ เราต้องตอบสนองขายตามทันทีครับ แล้วไปรอเข้าใหม่ตอนที่ปริมาณการถือหุ้นของต่างชาติเส้นสีน้ำเงินลดลงไปกลับลำที่เส้นแนวรับสีเขียว ขอบล่างด้านใน หรือขอบล่างด้านนอก ก็ต้องดูกันอีกทีในตอนนั้น แต่ถ้าต่างชาติยังคงซื้อต่อไปอีก แนวต้านใหญ่ถัดไปก็คือ เส้นแนวนอนสีแดง มีดอกจันทน์แดง 2 ดวง ซึ่งระดับดังกล่าวจะตรงกับเส้นแนวโน้มสีเขียว ขอบบนด้านนอก ประมาณระดับ 202,295.18 ล้านบาท หรือห่างจากระดับเมื่อวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012 ประมาณ 32,716.80 ล้านบาท เป็นระดับดับเบิ้ลหินที่ผ่านยากกว่า เส้นแดงมีดอกจันทน์ 1 ดวงขึ้นไปอีก สำหรับระดับแนวต้านมีดอกจันทน์แดง 3 ดวง และ 4 ดวงที่อยู่สูงขึ้นไป ป่วยการที่จะพูดถึงในตอนนี้ เพราะยากมากที่จะไปถึงได้โดยไม่มีการปรับฐานก่อนเลย
กล่าวโดยสรุป การค้นคว้าของผม ได้เผยให้เห็นธรรมชาติการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยว่า โดยรวมแล้วเขาค่อนข้างมีวินัย มีเป้าหมาย จุดเข้า จุดออก ที่ค่อนข้างชัดเจน อยู่ที่เราจะเชื่อตามเขาและมีวินัยเหมือนเขาหรือไม่ (อันนี้เตือนตัวเองให้่ท่องไว้จนขึ้นใจ) ส่วนตัวแล้วผมประเมินว่า โอกาสกลับลำของต่างชาติที่ดอกจันทน์แดง 1 ดวง มีค่อนข้างมาก ยกเว้นเงินนอกยังคงมีอีกมากจริง ๆ จึงจะดันขึ้นไปกลับลำที่ดอกจันทน์แดง 2 ดวง ครับ ก่อนจบผมขอเอาตัวเลขมาแปะไว้ว่า นักลงทุนต่างประเทศยังจะเข้าซื้อหุ้นไทยไปได้อีกไกลแค่ไหน ตามนี้ครับ
ดอกจันทน์ 1 ดวง เหลืออีก 5,409.81 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 2 ดวง เหลืออีก 32,716.80 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 3 ดวง เหลืออีก 60,882.30 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 4 ดวง เหลืออีก 82,835.36 ล้านบาท
===================================================
ติดตาม "ลงทุนหุ้นไทย ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา" ที่