Thursday, January 17, 2013

ภาพใหญ่ของหุ้น CK ภายใต้บรรยากาศ Super Cycle

     ภายใต้บรรยากาศ Super Cycle ของการโหมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทย เพื่อช่วงชิงการเป็นจุดเชื่อมต่อขนส่งทางบกและทางเรือจุดใหม่ของเอเซีย ในเส้นทาง 1. จีน-สิงคโปร์ 2. เวียดนาม-อินเดีย 3. มหาสมุทรแปซิฟิก-มหาสมุทรอินเดีย ผ่านแหลมฉบัง-ทวาย โอกาสทองแบบนี้ไม่ผ่านมาอีกแล้วถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ การฟื้นตัวของหุ้น CK ในครั้งนี้ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับบรรยากาศการฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2003 ซึ่งราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ 30.50 บาท ดังภาพกราฟหุ้น CK รายเดือนข้างล่าง นอกจากบรรยากาศรวมของประเทศแล้ว โครงสร้างธุรกิจของ CK ยังแตกต่างกันอย่างมากกับเมื่อปี 2003 กล่าวคือในช่วงนั้น กิจการยังคงเน้นการรับเหมาก่อสร้างเป็นหลัก มีการริเริ่มวางตำแหน่งของธุรกิจมาทางเป็นบริษัทโฮลดิ้งกิจการสาธารณูปโภคนอกจากทางด่วนของเดิมมายังรถไฟฟ้าใต้ดิน ขณะนั้นยังไม่ได้ขยายไปทางน้ำประปา และพลังงานอย่างจริงจัง ส่วนโครงสร้างในปัจจุบัน ได้ครอบคลุมทุกด้านที่กล่าวมาแล้ว โครงสร้างทุกด้านที่วางเอาไว้ ล้วนแต่เป็นฟีดเดอร์คอยป้อนงานรับเหมาก่อสร้างให้บริษัทแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ยังเหลือลดสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทย่อยเหล่านั้นให้เหมาะสมเพื่อไม่ต้องแบกรับภาระผลขาดทุนของกิจการที่ยังไม่ถึงจุดคืนทุน และการแยกกิจการพลังงานเข้าตลาดหุ้น นี่เป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่กำลังจะสมบูรณ์ นี่เป็นภาพใหญ่ของกิจการ สิ่งสุดท้ายที่ต่างกันก็คือปริมาณงานในมือที่เซ็นสัญญาแล้วในขณะนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังสูงขึ้นได้อีกมาก เพราะการโหมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลยังไม่ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังด้วยซ้ำครับ
     ทีนี้มาดูภาพใหญ่ที่เป็นกราฟ พัฒนาการในกราฟรายเดือนของหุ้น CK ย่อ ๆ เป็นดังนี้ เริ่มจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจาก 1.16 บาท ไปจุดสูงสุด 30.50 บาท ในเวลาประมาณครึ่งปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ใครใช้ P/E เป็นตัวบ่งชี้ความถูกแพงของหุ้น คงขายหมูออกไปตั้งแต่หุ้นขึ้นไปถึงระดับ 4-5 บาท คือคิดว่าขึ้นมา 4-5 เด้งมันน่ากลัวแล้ว แต่อีกไม่กี่เดือนให้หลังมันกลายเป็น หุ้นยี่สิบกว่าเด้งไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นก็เป็นจุดสูงสุดในรอบ 9 ปีจนถึงปัจจุบัน ถ้าเปิดดูค่า P/E ของ CK ณ วันนี้ จะงงมากว่าเป็นไปได้อย่างไร ค่า P/E สูงเป็นพันแล้ว ?!?! ต่อนะครับ หลังจากทำจุดสูงสุด ราคาหุ้นปรับลงมาที่ 7.20 บาท เด้งกลับไปที่ 16.60 บาท ไหลลงมาต่ำสุดที่ 1.96 บาท เรียกว่าขึ้นไปกี่เด้ง ก็คืนกลับไปหมดทุกเด้งในเวลาประมาณห้าปี จากนั้นราคาหุ้นก็ฟื้นตัวขึ้นมาที่ 11.40 บาท พักปรับฐานลงมาที่ 5.55 บาท แล้วย้อนกลับขึ้นไปแถว ๆ 16 บาท ในปัจจุบัน การฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดปลายปี 2008 มาถึงปัจจุบันก็ประมาณ 8 เด้งแล้ว ถ้าดูในภาพจะเห็นว่า จุดสูงสุดที่น่าสนใจในกราฟได้แก่จุด 30.50 บาทปลายปี 2003 และจุด 11.40 ปลายปี 2010 ผมลากเส้นตรงสีชมพูเชื่อมจุดทั้งสองนี้ ได้ออกมาเป็นเส้น Supply line ที่เป็นตัวชี้ว่า หุ้นได้ฟื้นตัวจากการซึมยาว 8 ปีแล้วอย่างมั่นคง ดังนั้นเมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้ ราคาหุ้นจึงฟื้นตัวขึ้นด้วยความเร่งนับแต่ช่วงกลางปี 2012 เป็นต้นมานั่นเอง



     ผมได้เคยโพสต์ไว้ในข้อเขียนหลายแห่งว่า การฟื้นตัวของหุ้นไม่ว่าในกรอบระยะเวลาใดก็ตาม จะยั่งยืนได้ต้องปรากฎหลักฐาน 2 ประการคือ ราคาหุ้นต้องขึ้นไปอยู่เหนือเส้น Supply line ให้ได้ และต้องเกิดเป็นแนวโน้มขาขึ้นใหม่ให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อดูในภาพข้างล่างจะเห็นช่องแนวโน้มสีเขียวเกิดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน ในภาพผมใช้เส้นตรงขนานสีเขียว 4 เส้นประกอบกันเป็นช่องแนวโน้มขาขึ้นสามช่อง และพบว่าราคาหุ้น CK ได้เคลื่อนไหวอยู่ในช่องแนวโน้มล่างสุดมาแล้วเป็นเวลา 5 ปีเต็ม จะเห็นกว่าที่เราจะยืนยันการเกิดช่องแนวโน้มขาขึ้นได้ ก็ต้องรอจนถึงปลายปี 2011 ตรงบริเวณซึ่งราคาหุ้นลงมาที่ 5.55 บาท ในช่วงนั้นราคาหุ้นยังไม่สามารถพ้นออกจากแนวเส้น Supply line ได้ จนกระทั่งกลางปี 2012 ดังได้กล่าวแล้ว จากภาพจะเห็นว่า ในเดือนสุดท้ายของปี 2012 ราคาหุ้น CK ได้ทะลุเข้าไปอยู่ในช่องแนวโน้มขาขึ้นช่องกลางเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังวนเวียนย้ำฐานให้แน่นที่เส้นแนวนอนสีน้ำเงินอันเป็นจุดสูงสุดย่อยเดิมเมื่อต้นปี 2005 หากยืนเหนือเส้นสีน้ำเงินนี้ได้อย่างมั่นคงแล้ว แนวต้านหลักที่เหลืออยู่ก็มีแต่จุดสูงสุดเดิมที่ 30.50 บาทบริเวณเส้นสีแดง ในช่วงระหว่างเส้นสีน้ำเงินและเส้นสีแดง ผมมองเห็นแนวต้านที่ผ่านได้ง่ายกว่าเส้นสีแดง คือเส้นขอบล่างของช่องแนวโน้มสีเขียวช่องบนสุดนั่นเอง ส่วนเส้นขอบบนของช่องแนวโน้มดังกล่าว ผมไม่อยากกล่าวถึงมากเพราะจะเห็นว่าแนวเส้นดังกล่าวจะรวมกันกับเส้นสีแดงที่บริเวณจุดวงกลมสีแดงนั่นเอง ที่จุดแดงดังกล่าว อยู่ในแนวที่ความชันของกราฟกำลังมุ่งไปพอดี ด้วยพลังต้านทั้งเส้นเขียวและเส้นแดงรวมกัน โอกาสที่จะไปถึงจุดแดงแล้วทะลุข้ามไปเลยนั้นเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก และน่าจะมีการปรับฐานที่ใหญ่พอสมควรเกิดขึ้นที่ตรงนั้น ถ้าดูภาพใหญ่มาก ๆ จะเห็นว่า จากจุดสูงสุด 30.50 บาทเมื่อปลายปี 2003 เรื่อยไปจนถึงจุดแดงที่ความสูงเดียวกัน ลักษณะของกราฟดูคล้ายกับถ้วยแก้วใหญ่ ดังนั้นถ้าราคาหุ้นสามารถขึ้นไปชนจุดแดงแล้วผ่านขึ้นไปต่อ ก็เข้ารูปกราฟแบบถ้วยแก้วไม่มีหูจับ แต่ถ้าชนแล้ว พักปรับฐานลงมาก็เข้าตำรา ถ้วยกาแฟมีหูจับ ชี้เป้าหมายไปที่ 30.50 + (30.50 - 1.96) = 59.04 บาท จะเป็นไปได้หรือไม่ต้องรอดูกันต่อไปแต่ตอนนี้ขอให้ยืนเหนือ 16.60 ได้อย่างมั่นคงและผ่าน 22 บาทไปให้ได้ก่อน ที่เหลือค่อยมาดูอีกทีก็ยังได้ สมมุติว่าราคาหุ้นสามารถขึ้นไปถึงจุดแดงได้จริง สิ่งที่ควรคิดไว้ล่วงหน้าคือ การแรลลี่ของราคาหุ้นจาก 1.96 บาท ไปชน 30.50 บาท จะมีโอกาสพักปรับฐานลงมาตามทฤษฎี Fibonacci retracement ที่ระดับราคาใดบ้าง และเราจะทนการปรับลงนั้นได้หรือไม่ มีแผนการบรรเทาความเสียหายในระหว่างการปรับฐานนั้นอย่างไรบ้าง เป็นสิ่งที่น่าเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ครับ


Short URL =  http://bit.ly/101lTvT

อ่านบทความเกี่ยวกับ CK ทั้งหมดได้ [ ที่นี่ ]

==============================

ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน นำหนุนกระแสเงินสด

มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ + เงินสด + มูลค่าปัจจุบันของ [ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลรับระหว่างถือหุ้น 10 ปี ]

ค้นหา "ลงทุนหุ้นไทย"

หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา " ชำแหละพื้นฐานหุ้น"