พอร์ตลงทุนของผมเป็นบัญชีมาร์จิ้น หมายความว่าผมใช้เงินตัวเองซื้อหุ้นครึ่งหนึ่ง และกู้จากโบรกเกอร์อีกครึ่งหนึ่ง เนื่องจากโบรกเกอร์คิดดอกเบี้ยตามอัตราตลาดดังนั้นผมจะกู้เฉพาะในขณะที่หุ้นกำลังอยู่ในขาขึ้นเท่านั้น และหากเริ่มมีสัญญาณว่าตลาดอาจจะเริ่มมีปัญหา จะต้องรีบใช้คืนหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้หมดโดยทันที หาไม่แล้วไฟจะไหม้บ้านเอาได้ (เคยโดนมาก่อน) ด้วยนโยบายลงทุน "ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน นำหนุนกระแสเงินสด" มูลค่าพอร์ตของผมที่หักลบหนี้ออกแล้วเป็นไปดังกราฟเส้นสีน้ำเงินในภาพข้างบนครับ ผมบันทึกมูลค่าเงินในพอร์ตซึ่งเป็นส่วนของผมล้วน ๆ อย่างไม่สม่ำเสมอ ตามแต่จะนึกขึ้นได้ จุดข้อมูลเลยขาดหายไปเป็นระยะ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะใช้ติดตามความก้าวหน้าของพอร์ตแล้ว นอกจากสัญญาณอันตรายที่ผม "sense" ได้จากการติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนี SET และเงินทุนต่างชาติดังได้โพสต์แชร์เพื่อนนักลงทุนอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ดูจากพอร์ตของผมเองจะเห็นได้ว่า ในระยะสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่าพอร์ตได้พุ่งกระฉูดขึ้นไปอย่างมาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่เตือนว่า อันตรายอาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ ดังนั้นต้องไม่ประมาท ผมได้วางแผนเอาชีวิตรอดโดยการตั้งกฎว่า
- หากสัญญาณอันตรายปรากฎชัดเจนแล้ว ต้องทำพอร์ตให้ปลอดหนี้ทันที
- ติดตามมูลค่าเงินในพอร์ตที่เป็นส่วนของผมเองล้วน ๆ (หักหนี้พร้อมดอกเบี้ยออกไปแล้ว) โดยทุกครั้งที่มูลค่าพอร์ตปลอดหนี้ ทำจุดสูงสุดใหม่ ผมจะคำนวณระดับของเงินทุนที่ต้องรักษาเอาไว้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยกำหนดไว้ที่ 90% ของมูลค่าสูงสุด วาดเป็นเส้นแนวนอนสีแดงในกราฟ
- หากตลาดมีการปรับฐานจนมูลค่าพอร์ตลดต่ำกว่าเส้นสีแดง จะต้องขายล้างพอร์ตเพื่อเก็บเงิน 90% เอาไว้ลงทุนในโอกาสที่ตลาดเลวร้ายสุดขีด หากปรับฐานแต่มูลค่าพอร์ตปลอดหนี้ยังอยู่เหนือเส้นสีแดง ก็ไม่ต้องทำอะไร
หากทำตามแผนทั้งสามข้อนี้อย่างเคร่งครัด ในระยะยาวมูลค่าพอร์ตปลอดหนี้ของผมจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะมีการจำกัดความสูญเสียไว้ที่ 10% ตลอดเวลา ในวันนี้ ดัชนี SET ได้หลุดจาก [ แนวรับ Fibonacci 1,282.78# จุด ] ซึ่งผมคิดว่าควรดำเนินตามแผนการรักษาต้นทุนทันที ดังนั้นจึงขายหุ้นบางส่วนทำกำไรใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยคืนให้โบรกเกอร์ การกระทำดังกล่าวทำให้มูลค่าพอร์ตปลอดหนี้ลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อวานนี้ลงมาประมาณ 5% และยังเหลืออีกประมาณ 5% จะลดถึงเส้นสีแดง ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าตลาดจะลงหนักไปกว่านี้อีกหรือไม่ ถ้าลดถึงเส้นแดงเมื่อไหร่ ผมต้องล้างพอร์ตเก็บเงินสดไว้ทำทุน ถ้าไม่ถึงเส้นแดงแล้วตลาดฟื้นตัว มูลค่าพอร์ตปลอดหนี้ก็จะไต่กลับขึ้นไปได้อีกครั้ง เนื่องจากเราไม่รู้ว่า อนาคตจะออกมาแบบไหน การจำกัดความเสี่ยงด้วยแผนสามข้อดังกล่าว ก็เหมือนการซื้อประกันรถยนต์ แบบประกันชั้นหนึ่ง นั่นเองครับ หากไม่เกิดอุบัติเหตุ ผมเสียเบี้ยประกันไปฟรี ๆ แต่หากเกิดอุบัติเหตุ ประกันช่วยรับภาระ ขับรถยังทำประกันชั้นหนึ่ง ลงทุนจะไม่ทำประกันเลย หรือทำแค่ พรบ. หรือครับ ?
===================================================
ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน นำหนุนกระแสเงินสด
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = มูลค่าปัจจุบันของ (เงินสด + กำไรของผู้ถือหุ้นและเงินปันผลระหว่างถือหุ้น 10 ปี + เงินรับเมื่อขายกิจการทั้งหมด)
ค้นหา "ลงทุนหุ้นไทย"
facebook.com/truestockvalue
twitter.com/thstockinvest
gplus.to/chamlaehoon
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา " ชำแหละพื้นฐานหุ้น"
ผ่างบการเงิน ชำแหละพื้นฐานหุ้น ลงทุนถูกเวลา รักษาต้นทุน นำหนุนกระแสเงินสด
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = มูลค่าปัจจุบันของ (เงินสด + กำไรของผู้ถือหุ้นและเงินปันผลระหว่างถือหุ้น 10 ปี + เงินรับเมื่อขายกิจการทั้งหมด)
ค้นหา "ลงทุนหุ้นไทย"
facebook.com/truestockvalue
twitter.com/thstockinvest
gplus.to/chamlaehoon
หาเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มสนทนา " ชำแหละพื้นฐานหุ้น"